7/26/2550

รวมลิงก์ สื่อการศึกษาสนุกๆ สำหรับเด็กๆ

แนะนำ blog ของคุณแม่เบอร์รี่ค่ะ
ครูอ้อ

----- Original Message -----
From: crazymum
To: ra.news@gmail.com
Sent: Thursday, July 26, 2007 1:45 AM
Subject: crazymum : link สื่อการศึกษาสนุกๆสำหรับเด็ก

crazymum ได้ส่งลิงก์ถึงคุณเพื่อไปยังบล็อก: ฝากกระจายข่าว บล็อก: crazymum
บทความ: link สื่อการศึกษาสนุกๆสำหรับเด็ก ลิงก์: http://berrycrazymum.blogspot.com/2007/07/link.html

7/24/2550

27 ส.ค. จะมี ดวงจันทร์ 2 ดวง !!

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2550 คือวันที่คนทั้งโลกตั้งตารอคอย....
เพราะดาวอังคารจะส่องแสงเจิดจรัสบนฟากฟ้าให้เห็นแบบชัดเจนที่สุดตลอดเดือนสิงหาคม
ด้วยรูปทรงขนาดใหญ่ประดุจดังพระจันทร์เต็มดวงซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
โดยเฉพาะวันที่ 27 สิงหาคม
ซึ่งทุกอย่างจะชัดเจนสมบูรณ์ที่สุดเพราะ
วันนั้นดาวอังคารจะอยู่ห่างจากโลกแค่ 34.65 ล้านไมล์ อย่าพลาดนะคะ...
คืนวันที่ 27 สิงหาคมนี้ เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง
เราจะเห็นดวงจันทร์สองดวงบนท้องนภา
ปรากฎการณ์เช่นนี้จะมีให้เห็นอีกครั้งในปี คศ. 2287 ( หรือพุทธศักราช 2830)

ขอเชิญแบ่งปันเรื่องราว "ครอบครัวรักษ์โลก"

ฝ่ายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมขอเชิญครอบครัวรุ่งอรุณ
ส่งภาพและเรื่องราวการจัดการทรัพยากรในครัวเรือน
เพื่อร่วมกันแบ่งปันความดีที่ลงมือทำเพื่อโลกใบนี้
ส่งไฟล์และข้อเขียนของครอบครัวท่านมาได้ที่

ra.news@gmail.com

ชมตัวอย่างผลงานของ แจม ป.๕ และ เจลลี่ ป.๔



เรามีการจัดการขยะแบบง่ายๆ ที่บ้าน และสามารถช่วยลดขยะได้มากพอควร ดังนี้


๑. อาหาร ขนม ที่มี ซอง กล่อง หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกต่างๆ
เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว เราจะนำบรรจุภัณฑ์เหล่านั้นไปล้างในครัว
และใช้สกอตไบท์ขัดถูคราบให้เรียบร้อย

























๒. เมื่อสะอาดแล้วเราก็หนีบด้วยไม้หนีบตามถังแยกที่เตรียมไว้
เช่น ถังสำหรับ พลาสติก วัสดุผสม กระดาษ เป็นต้น
















๓.เมื่อถังเริ่มล้น ...
เราก็จัดการขนถังเหล่านั้นไปส่งที่โรงแยกขยะในโรงเรียนของเรา

๔.สำหรับเศษอาหาร
หรือวัสดุธรรมชาติ
เราก็เทลงในถังย่อยสลายง่าย ที่เตรียมไว้นอกบ้าน ...
เทน้ำหมักชีวภาพเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
และกองทับด้วยใบไม้
(มักมีหอยทากหรือสัตว์อื่นๆ มากินอาหารที่นี่บ่อยๆ :) )

๕. เมื่อเราซื้ออาหารมาทานในบ้าน เราจะใช้ปิ่นโตบรรจุอาหารแทนโฟม หรือ กล่องพลาสติกเพื่อลดขยะในบ้าน











เราทำมากันมาเป็นเวลานานจนชินแล้ว
ซึ่งถ้าใครต้องการจะทำตาม
ผมคิดว่าอาจจะง่ายกว่าที่คิดอีก
ขอให้ช่วยกันลดขยะเพื่อ...
โลกที่สดใส ของเราด้วยครับ

เขียนโดย
ด.ช.ธรรมชาติ จันทพลาบูรณ์ (แจม) ป.๕/๑
ร่วมแสดงแบบ
ด.ญ.น้ำใจ จันทพลาบูรณ์ (เจลลี่) ป.๔/๒
และ คุณยายแอ้ว
ช่างภาพ
คุณแม่นันทินี จันทพลาบูรณ์ (แม่อ้อ)

7/20/2550

งานหยดน้ำ

ใกล้ถึงงานหยดน้ำแล้ว
ขอเชิญผู้ปกครองแต่ละระดับชั้นหาอาสาสมัครบันทึกงานหยดน้ำของลูกๆ
ที่ผ่านมามีอาสาสมัครบันทึกวีดีโอภาพรวมของงานและกรุณาส่งแผ่นเข้าห้องสมุดเผื่อเพื่อนผปค.ระดับชั้นเดียวกันยืมไปทำสำเนาดังนี้ค่ะ
(ปีการศึกษา ๒๕๕๐)
ป.๔ คุณพ่อยุทธ (กอล์ฟ)
ป.๕ คุณแม่อ้อ (แจม) / คุณรุ่งโรจน์ (เบ๊บ)
ม.๒ คุณรุ่งโรจน์ (วี/ไอ/พี)
หากมีผปค.ท่านใดประสงค์จะอาสาถ่ายวีดีโอภาพรวมงานหยดน้ำให้เพื่อนผปค.ร่วมระดับชั้น/ห้อง
สามารถโพสไว้ได้เลยนะคะ

7/19/2550

เดินสู่อิสรภาพ : ดร.ประมวล เพ็งจันทร์

บทความน่าอ่าน จากหนังสือ "เดินสู่อิสรภาพ"ของ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์

.............ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการก้าวเดิน ตั้งแต่ตีห้าของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยเดินออกจากบ้านเพื่อเป็นการฝึกเดิน เปรียบเหมือนเด็กน้อยๆ ที่เมื่อเกิดออกมาแล้วก็ปรารถนาจะเดิน ผมฝึกเดินอยู่จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงของจังหวัดเชียงใหม่พอดี จนคิดว่าเข้มแข็งพอที่จะเดินในระยะไกลๆ ได้แล้ว หลังจากภรรยาผมทดสอบว่าเดินได้จริงๆ วันละเท่าไหร่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผมจึงได้เดินออกนอกจังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนแรกไม่มีเจตนาว่าจะออกเดินไปไหน
แต่ตอนฝึกเดินผมจะพบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ชาวบ้านจะซักถาม แล้วเมื่อผมตอบไม่ได้ ชาวบ้านจะเข้าใจผิด คิดเสมือนประหนึ่งว่าคนๆ นี้วิกลจริต หรือคนบ้าที่ไม่รู้จะไปไหน ผมจึงคิดว่าครั้งนี้ต้องมีเป้าหมายทางกายภาพด้วย จริงๆ การเดินของผมเพื่อต้องการแสวงหาเป้าหมายทางจิตใจ แต่เมื่อไม่มีเป้าหมายทางกายภาพ ทำให้บางคนวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าจะสามารถพาชีวิตรอดได้หรือไม่ เลยมีเป้าหมายว่าจะเดินกลับบ้านเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมใช้เวลาเดินจากเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ไปถึงเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ ใช้เวลาทั้งหมด ๖๖ วัน การเดินในครั้งนี้ผมใช้เงื่อนไข
หนึ่ง คือจะไม่เดินไปหาคนที่รู้จัก หรือถ้าคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีกไปใช้ทางอื่น สอง คือจะไม่มีสตางค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจติดตัวไปด้วย เพราะฉะนั้นในการก้าวเดินจึงรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสที่ประเสริฐสุด ที่จะได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองมีอยู่ โดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทางสังคมมาประดับประดาตกแต่ง
บทเรียนที่ได้จากการก้าวเดินจึงเป็นบทเรียนที่ผมค่อนข้างจะภูมิใจ ไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีนะครับ แต่หมายความว่าเท่าที่ตัวเองตัดสินใจทำไปนั้น คิดว่าครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมอยากจะเล่าประสบการณ์สั้นๆ เพราะเวลามีจำกัด ว่าในการก้าวเดินแบบนี้ เริ่มต้นจากการที่เราเผชิญสิ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งง่ายๆ จะเป็นปัญหากับชีวิตมากขนาดนี้ เช่นกรณีอาหาร เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขออาหารจากผู้ใดผู้หนึ่งด้วยการไปบอกว่าผมหิว ผมกระหาย ผมขออาหาร ผมจะไม่ทำ เพราะฉะนั้นในการเดินจึงประสบกับปัญหาที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัส เพราะกว่าเขาจะรู้ว่าเราหิวโหยจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ก็ต้องสังเกตเอาเอง และเมื่อมีคนให้อาหารผมทาน เพียงแค่อาหารมื้อแรกที่ได้รับ ผมก็รู้เลยว่าการกินอาหารที่ผ่านมาตลอดชีวิต มันได้แต่กินอาหารอย่างเดียว ได้แต่เสพรสอาหาร แต่ไม่ได้เสพรสชาติชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง
ผมยังจำภาพได้ ตอนผมเดินจากบ้านที่เชียงใหม่ในวันแรก ผมเดินไปจนถึงเวลาบ่ายค่อนจะเย็น ตอนนั้นผมหลีกไปเดินบนถนนสายเลียบคลองชลประทาน ในเขตอำเภอสันป่าตอง ผมเดินไปจนกระทั่งร่างกายมันล้า น้ำในกระบอกน้ำก็หมด เมื่อไม่มีน้ำดื่ม ผมรู้สึกเหมือนกับจะหน้ามืดเป็นลม คอแห้ง น้ำลายขม และรู้สึกว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร เมื่อไปเห็นเพิงขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งมีม้าหินขัดวางตั้งอยู่ ตอนนั้นไม่มีร่มไม้อยู่เลยเพราะเป็นทุ่งนา ผมเลยขออนุญาตเจ้าของเพิงขายก๋วยเตี๋ยวว่า ขอนั่งตรงนี้สักหน่อยได้ไหม เขาบอกว่าได้ ผมเลยนั่งลง แล้วเขาก็มีน้ำใจเอาน้ำมาให้ผมดื่ม
เมื่อเห็นว่าผมดื่มน้ำด้วยความหิวกระหาย เขาเลยถามว่าไปไหนมายังไง เมื่อเขาทราบความเป็นมาของผมแล้ว ตอนนั้นเขาเก็บของไปเยอะแล้วเพราะว่ามันเย็นแล้ว แต่เขาบอกว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวให้ผมทาน จะทานไหม ผมก็ถามว่าจะลำบากไหม เขาบอกว่าเขาทำก๋วยเตี๋ยวขายให้คนอื่นอยู่แล้ว ไม่ลำบากหรอกที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้อีกสักชาม ผมบอกว่าถ้าไม่ลำบากและเต็มใจที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้ ผมก็จะทาน แล้วเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวให้ผม
ผมรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเขาเต็มใจทำจริงๆ เพราะมันเต็มชามเลย ทั้งเส้นก๋วยเตี๋ยว ทั้งลูกชิ้น ทั้งอะไรที่มีอยู่ เขาใส่จนมาเต็ม แล้วผมก็ได้รู้ว่าการได้ทานก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมันมหัศจรรย์และวิเศษที่สุด เพราะก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่า เพียงแค่วันแรกชีวิตผมก็กำลังจะมอดดับ จะสลายเสียแล้ว แต่พอได้ทานก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเอง สิ่งที่มันเฉาไป มันก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา
ผมพูดกับพี่คนที่ให้ก๋วยเตี๋ยวผมทานว่า พี่ได้ต่อชีวิตให้ผมอีก ชีวิตผมยังได้มีต่อไป ขอบคุณมากๆ ผมจะจำไว้ว่าการทานก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แกไม่รู้จะคุยอะไรกับผม ผมก็จากลาพี่คนนี้แล้วเดินต่อ ผมอยากเล่าว่าการทานอาหารเพียงแค่มื้อแรกก็สุดแสนจะมหัศจรรย์กับการที่มีชีวิตอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ว่าอาหารที่เราทานเข้าไปนั้น มันมีความหมายมากกว่าที่เราเคยทานมาไม่รู้สักเท่าไหร่ และอาหารแต่ละมื้อที่ทานไปมีมิติแห่งความหมายทั้งนั้น จนผมรู้สึกเสียดายว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากินอาหารมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันมื้อแล้ว ทำไมจึงไม่ได้ความรู้สึก ไม่ได้อารมณ์ประเภทนี้เลย
มีอยู่มื้อหนึ่งที่ประทับใจผมมาก ผมเดินไปบนถนนเพชรเกษม ในเขตอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นการเดินที่ยากมากเหนื่อยมาก ผมไม่สามารถบำเพ็ญภาวนาตามที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะบนถนนมีรถเยอะ แล้วก็ร้อน ผมเดินไปจนกระทั่งเวลาเย็นยังไม่มืด ปกติผมตั้งใจว่าถ้ามืดจะหยุดพัก แต่วันนั้นมันเดินไม่ไหวแล้ว ร่างกายบอบช้ำเต็มที เวลาเดินผมจะกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายขวาให้สัมพันธ์กัน และพยายามจะไม่คิดเรื่องอื่น แต่ตอนนั้นทำไม่ได้แล้ว หายใจเข้าเร็วออกเร็ว แต่เท้ามันเกร็งก้าวตามไม่ไหว เลยเข้าไปในวัดจันทาราม ไปเจอหลวงพ่อซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเจ้าอาวาสหรือพระลูกวัด ก็เข้าไปยกมือไหว้ท่านแล้วขออนุญาตพักในวัด ท่านเลยชี้มือให้ไปพักที่ศาลา
ผมเดินไปเจอพระอีกสามรูปนั่งอยู่ในศาลา ก็เข้าไปกราบท่านว่า ผมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อที่อยู่หน้าวัดให้เข้ามาพักที่ศาลา จะขอเข้าไปได้ไหม ท่านบอกว่าได้ แต่คงเห็นสภาพร่างกายผมแย่ ท่านเลยถามว่าเดินทางมาจากไหน ผมบอกว่าเดินมาจากเชียงใหม่ แล้วกินอยู่ยังไง ผมว่าถ้ามีคนให้กินก็ได้กิน ถ้าไม่มีก็ไม่ได้กิน แล้ววันนี้ได้กินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ท่านเลยตะโกนไปที่ศาลา ถามเด็กวัดว่ายังมีอะไรเหลืออยู่ให้โยมคนนี้กินบ้างไหม เสียงทางโน้นตอบมาว่า เทให้หมาหมดแล้ว ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเท ให้เขาดูก่อนเผื่อจะกินอะไรได้ แล้วพระก็บอกว่าโยมไปดูก่อนเถิด เผื่อว่ายังมีอะไรทานอยู่ได้บ้าง
ผมก็ไปที่ศาลา ตอนนั้นมันมีอาหารที่เทจากปิ่นโตและภาชนะบรรจุลงไปอยู่ในหม้อใบใหญ่ เขาก็บอกว่าเทหมดแล้ว ผมชะเง้อคอดู เทหมดแล้วจริงๆ แต่ว่าส่วนบนสุดมันเป็นข้าวเหนียว ไม่ใช่ข้าวเหนียวทางภาคเหนือที่กินเป็นอาหารคาว แต่เป็นข้าวเหนียวทางภาคกลางที่กินเป็นอาหารหวาน มันอยู่บนสุดและมีสภาพเป็นก้อนยังไม่ละลายไปกับข้าวเจ้าที่ผสมกับน้ำแกง ผมเลยชี้ไปว่าถ้าผมจะขอกินได้ไหม เขาบอกว่าเอาสิ ถ้ากินได้
แล้วผมก็หยิบข้าวเหนียวนั้นมา เขาถามว่าจะเอาอะไรอีกไหม ผมบอกว่าไม่เอาแล้ว เขาเลยเอาข้าวหม้อนั้นทั้งหมดมาคนๆ แล้วเทในกะละมังหรือถาดประมาณสามจุด ให้หมาซึ่งอยู่ริมศาลา ผมคิดว่าสักสิบตัวหรือมากกว่านั้นไม่แน่ใจ ผมนั่งดูหมาทานแล้วผมก็กินข้าวเหนียวที่อยู่ในมือ รู้สึกว่ารสชาติของชีวิตมันอร่อยมากที่ผมกับหมาได้กินอาหารร่วมกัน ได้มีชีวิตยืนยาวและมีความรู้สึกที่ดีๆ กับการได้เป็นเช่นนี้
ขอเล่าย้อนไปนิดนึง อาจจะไม่เป็นระบบแต่เพื่อจะโยงให้เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คือจริงๆ ผมมีความรู้สึกประทับใจกับหมามาก่อนหน้านี้แล้ว คือช่วงที่ผมเดินอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงถนนมาลัยแมน ผมเดินไปตอนมืดและนอนที่วัดศรีเฉลิมเขต อยู่ในอำเภอสองพี่น้อง ผมเข้าไปขออนุญาตเจ้าอาวาสเพื่อจะพักนอนค้างคืน ท่านก็อนุญาต เป็นที่ศาลาเหมือนกัน และตอนนั้นเวลาหัวค่ำแล้ว ปรากฏว่าที่ศาลานั้นมีหมาหลายตัวนอนอยู่ก่อน เมื่อผมเป็นคนแปลกหน้าเข้าไป มันก็เห่าเหมือนกับปฏิเสธการเข้าไปของผม ผมก็นั่งลงที่ริมศาลาแล้วพูดในใจกับหมา บอกว่าผมเดินมาไกล เหนื่อยมาก ขอที่เพียงเล็กน้อยเพื่อพักคืนนี้ ผมไม่เบียดเบียน ไม่เป็นอันตราย เราเป็นมิตรกัน ผมไม่มีอะไรเลย จะขอเป็นมิตรด้วย จะไม่ทำความรบกวน ไม่ทำความเดือนร้อนให้เขา
คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินแต่ก็เห่าพอเป็นพิธีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แล้วกลับไปนอนต่อ ผมถือว่าเท่ากับเป็นการอนุญาต ผมก็นอนอยู่ริมๆ ศาลานั้นเอง แล้วหลับไปเพราะร่างกายแย่เต็มที มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้เวลาเท่าไหร่ แต่คงดึกดื่นมากแล้ว ตอนรู้สึกตัวใหม่ๆ ยังสะลึมสะลือว่าผมอยู่ที่ไหน ชีวิตผมมายังไง แต่พอเริ่มจำความได้ว่าผมเดินมา ตอนที่รู้สึกตัวนั้นมีกลิ่นสาบๆ คาวๆ ลอยมาเข้าจมูกผม สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีอะไรมาสะกิดสีข้าง ผมเลยเอื้อมมือไปสัมผัสดู ปรากฏว่าเป็นหมาขี้เรื้อนที่ไม่มีขนแล้ว มีแต่หนังสากๆ ผมลองจับดูปรากฏว่ามีทั้งซ้ายและขวา เลยเกิดความรู้สึกวูบหนึ่งตอนนั้นว่า อ๋อ! ผมนอนที่วัด แล้วหมาเหล่านี้ตอนหัวค่ำมันเห่ารังเกียจ ไม่ต้องการให้ผมมานอนที่ศาลานี้ พอผมรู้สึกได้ขณะนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ กับการมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไร แต่รู้สึกดีที่ว่า หนึ่งหมาต้อนรับผม เป็นมิตรแล้ว สองรู้สึกว่าชีวิตผมยังมีอยู่พอเหลือไออุ่นให้กับหมาขี้เรื้อนได้
ถ้าสมมติว่าเกิดตอนหัวค่ำนี้ผมตายลง ร่างผมคงเย็นชืด แล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรที่หมาจะมานอนด้วย เพราะฉะนั้นการที่ผมยังมีชีวิตอยู่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็ยังมีคุณค่าให้กับหมาขี้เรื้อนเหล่านี้ ความรู้สึกตรงนั้น ทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่ดีกับการมีชีวิตอยู่และกับหมามาก ผมเอื้อมมือทั้งซ้ายทั้งขวาไปลูบมันแล้วมันก็แสดงอาการพึงพอใจ เหมือนช่วยทำให้มันรู้สึกดีขึ้น
ชั่วขณะนั้นผมนึกถึงความหมายของการภาวนาที่เราทำกันอยู่เสมอโดยปกติ แต่อาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก คือการแผ่เมตตาที่เราพูดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงมีความสุขความสุขเถิด ชั่วขณะนั้นผมไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ เลย แต่ความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือเราเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกัน และเราขอให้เขามีความสุข เมื่อผมรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมตื่นขึ้นเป็นเพราะหมาขี้เรื้อนมันเกา และเอาขาที่มันเกานั้นมากระทุ้งสีข้างผม ผมก็นอนต่อด้วยความสุข
อารมณ์ความรู้สึกอย่างเมื่อตอนนั่งกินอาหาร ที่เขาก็กินอาหารและมีความสุขด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า มันมีอะไรมากกว่าการได้กินข้าวเหนียวเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ผมจึงมีความรู้สึกว่า แม้เพียงการได้กินอาหารแต่ละมื้อแต่ละคราวในการก้าวเดินไป ก็แสนจะมหัศจรรย์ และทำให้ผมตระหนักว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมคงไม่เล่ามากไปกว่านี้ แต่เพียงยกตัวอย่างเท่านั้นว่า การได้ใช้ชีวิตในลักษณะนั้นทุกขณะที่เดิน มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพียงแค่ได้กินน้ำกินข้าวสักนิดสักหน่อยก็เป็นสิ่งที่มีความหมายกับการมีชีวิตอยู่ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย
การได้เดินไป การได้พัก การได้นอน ได้พบปะกับคน โดยเฉพาะเมื่อเราไปในลักษณะนั้น คนที่ได้พบส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เราเคยมองข้ามทั้งนั้น เช่นขอทานริมถนน เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อผมเดินไปและบางวันหาที่นอนไม่ได้ ผมก็ได้นอนกับขอทานพิการซึ่งทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ หรือบางครั้งคนที่เราคิดว่าเขาปัญญาอ่อน
ผมประทับใจคนๆ หนึ่งมาก ผมเดินไปที่วัดหนึ่ง อยู่อำเภอเดิมบางนางบวชหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผมขอไปนอนที่วัดนี้ แล้วพระที่วัดบอกให้ไปกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อในกุฏิ ผมก็ไปรอตั้งแต่ไปถึงวัดใหม่ๆ จนกระทั่งมืดแล้ว หลวงพ่อท่านยังไม่ออกมานอกกุฏิ จนผมรู้สึกว่าท่านคงไม่ออกมาแล้ว ผมเลยไปบอกพระ ท่านบอกว่าหลวงพ่อคงจำวัดแล้วล่ะ แล้วผมจะทำยังไงล่ะเพราะมันมืดแล้ว พระท่านเลยบอกว่านอนตรงไหนได้ก็นอน
ช่วงขณะที่ผมรอหลวงพ่ออยู่ มีคนๆ หนึ่ง ผมมารู้ชื่อเขาภายหลังเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ไอ้น้อย เป็นชื่อที่เขาถูกเรียกตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาเห็นผมก็สงสาร เลยชวนไปนอนใกล้ๆ กับที่ของเขา ใกล้ๆ วิหารพระศรี ถ้าใครอยู่จังหวัดสุพรรณคงได้ยินชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ เขามีหน้าที่ดูแลปัดกวาดทำความสะอาดวิหารนี้ เขาพาผมไปบอกว่าไปนอนกับยักษ์ ผมนึกไม่ออกว่าหมายความว่าอะไร พอไปที่วิหารด้านใกล้ๆ กับพระพุทธรูป จะมีรูปพญามาร เล่าความหมายตอนที่พุทธประวัติยังเป็นพระมหาสัตว์เสด็จออกมหาภิเนกษกรม แล้วมีท้าวสุรัสวดีมารมาขัดขวาง จึงสร้างรูปพญามารขึ้น
ไอ้น้อยตีความว่าเป็นรูปยักษ์ ตรงฐานของรูปยักษ์จะมีพื้นที่ว่าง เขาก็บอกว่าให้ขออนุญาตยักษ์ ถ้ายักษ์อนุญาตก็นอนได้ เขาไปเอาธูปมาให้ผมสามดอก ผมก็เอาธูปไปจุดและคุกเข่าลงต่อหน้ารูปยักษ์ กล่าวให้น้อยได้ยินว่า ผมเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ร่างกายบอบช้ำเต็มทนแล้ว จะขออาศัยเมตตาท่านยักษ์นอนตรงนี้ พอผมพูดเสร็จ น้อยก็บอกว่าท่านยักษ์อนุญาตแล้ว นอนได้ พอผมทำท่าจะนอน เขาบอกว่ากินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กิน เขาก็ไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำพริกจากพระ แล้วเอาข้าวสารมาหุง เอาปลากระป๋องมายำ เอาน้ำพริกมาละลายกับน้ำร้อน กับเอาผักที่เขาไปเก็บมาให้ผมกิน ผมรู้สึกดีมาก
พอได้คุยกับเขา ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่มหัศจรรย์มาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ตื่นมาตอนเช้า สิ่งที่ผมทำก่อนจะออกจากวัด คือไปสอบถามให้ได้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน และมีคนเล่าให้ฟังว่า เขาไม่รู้ว่าไอ้น้อยมาจากไหน ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ มีคนไปพบเขาถูกทิ้งไว้ที่ตลาดท่าช้าง แล้วมีคนเลี้ยงวัวนำมาเลี้ยงเพื่อให้เขาช่วยเลี้ยงวัวต่ออีกทีหนึ่ง พอเขาโตขึ้นมาหน่อย ผู้ชายที่เอาเขามาเลี้ยงเพื่อเฝ้าวัวเห็นว่าเขาโตไปแล้ว เลยเอามาให้วัด วัดเลยให้เขาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็กๆ จึงเรียกไอ้น้อย และโตจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันไอ้น้อยไม่มีชื่อในสำมะโนประชากรว่าเป็นคนไทยใน ๖๐ ล้านกว่าคน เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วเขาก็ไม่มีความรู้อะไร จำได้แต่เพียงว่าเขาเป็นคนๆ หนึ่ง และผมเข้าใจว่าถ้าเขาเห็นคนที่อยู่ในสภาพเช่นผม เขาจะเกิดความรู้สึกดีๆ จึงไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง ขอน้ำพริกมาทำอาหารให้ผมกิน
นี่เป็นเรื่องที่ผมประทับใจกับคนนะครับ กับคนมีเยอะมาก ผมเดินไปที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินอยู่บนถนนเพชรเกษมเหมือนกัน มีผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน เป็นคนคอยเก็บขยะเก็บพวกขวดน้ำพลาสติกไปขาย ความที่ผมเดินไปในลักษณะที่มีร่างกายบอบช้ำ เขาเลยเข้ามาคุยกับผม พอเขารู้ว่าผมเดินมาไกลและไม่ได้กินอะไร เขาก็มีน้ำใจบอกว่าจะให้อาหารผม เขาถามว่าผมจะไปที่ร้านใกล้ๆ นั้นจะได้ไหม ผมบอกได้ ก็เลยเดินไปด้วยกัน
แต่ผมพยายามจะบอกว่าอาหารนี่ต้องซื้อไม่ใช่หรือ เขายืนยันว่าเขามีตังค์ แล้วก็พาผมไปที่ร้านอาหารตามสั่งริมถนนก่อนจะถึงอำเภอทับสะแก แล้วเขาบอกผมว่าจะทานอะไรก็สั่งเอา ผมบอกว่าก็สั่งเอาถูกที่สุด สุดท้ายเขาเลยสั่งข้าวผัดให้ผม ผมชวนเขาคุยว่าเรากินข้าวผัดชามเดียวกันไหม เขาบอกว่าไม่หรอก วันนี้เป็นวันพระ เขาถือศีลกินเจ กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เพราะข้าวผัดที่สั่งมาเป็นข้าวผัดหมู
ขณะที่ผมนั่งกิน โต๊ะที่เขานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นภรรยาก็กล่าวกับผู้ชายที่เป็นสามีว่า เขาใช้คำสุภาพมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเก็บขยะจะมีคำที่สุภาพเช่นนี้ ผู้หญิงพูดว่า พ่อ เพราะวันนี้เป็นวันพระ เราถือศีลกินเจ เลยมีบุญได้พบลุงคนนี้ ได้ให้อาหารแก แกน่าสงสาร พอผมได้ยินดังนั้น ผมเลยวางช้อนและพูดว่าเพราะวันนี้ผมเดินมาแล้วไม่มีตังค์ จึงมีบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้พบคุณทั้งสอง เป็นบุญของผมมากที่สุดที่ได้พบกับคุณที่ให้อาหารผม จากนั้นผมก็คุยอะไรเล็กๆ น้อยๆ
แต่ที่ผมประทับใจมากๆ คือก่อนผมจะจากไป ผมได้ขอที่อยู่ ขอชื่อ เขาก็ให้ชื่อมา แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีที่อยู่ที่จะส่งทางไปรษณีย์ได้ เขาก็นั่งปรึกษากัน ผู้หญิงก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ ผู้ชายก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ สุดท้ายผมเลยบอกว่าเขียนที่อยู่ให้สักที่หนึ่ง ผมจะได้ส่งจดหมายให้เขาได้ และผมขำมากเมื่อเขาเขียนที่อยู่ให้ผมสองที่ เขาบอกว่าเผื่อให้มันถึงแน่ๆ เลยให้ที่อยู่ของพ่อผู้หญิงและที่อยู่ของพ่อผู้ชายด้วย ผมขำว่าถ้าเราจ่าหน้าซองทางไปรษณีย์สองที่อยู่ เขาคงส่งให้เราไม่ถูก แต่ที่ผมประทับใจคือ คนที่ไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกประทับใจในความเป็นมนุษย์ที่แสนมหัศจรรย์
ผมได้พบอารมณ์อย่างนี้ตลอดระยะของการก้าวเดินไป รายละเอียดมีเยอะ ผมคงไม่มีเวลาที่จะนั่งคุยตรงนี้ แต่เพียงแค่ต้องการจะสื่อบอกเล่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านว่า ช่วงเวลาแห่งการก้าวเดินไป เป็นช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ของชีวิต และผมไม่เสียดายเลยว่าผมได้พยายามจะเกิดใหม่อีกครั้ง การก้าวเดินครั้งนี้มันเหมือนกับผมได้เติบโตขึ้นทางจิตใจ เป้าหมายที่ผมกำหนดไว้และผมไม่กล้าบอกใครเลย คือผมต้องการที่จะก้าวเดินให้ถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพียงแผ่นดินในทางกายภาพ แต่ความรู้สึกลึกๆ ของผมที่เป็นพุทธบริษัท และปฏิญาณตนว่าเป็นอุบาสกคนหนึ่ง จะคิดผิดคิดถูกยังไงผมไม่แน่ใจ คือผมต้องการจะก้าวไปให้พ้นความรู้สึกเสียดาย อาลัยอาวรณ์ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ร่างกายเลือดเนื้อของผม
ผมตั้งใจไว้ว่าผมต้องการก้าวให้พ้นความรู้สึกเกลียดชังรังเกียจ และสำคัญที่สุดคือก้าวให้พ้นความกลัวที่มีอยู่ในใจ ทุกๆ ช่วงขณะแห่งก้าวไป ผมจะพยายามอย่างที่สุดที่จะเจริญสติ ผมใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องมือในการก้าวย่างทุกช่วงขณะ ยกเว้นช่วงที่เดินบนถนนที่มีรถพลุกพล่าน ไม่สามารถสำรวมจิตได้ ถ้าเป็นช่วงที่มีบรรยากาศดีๆ ก็จะทำสมาธิภาวนาไปตลอด เพราะฉะนั้นช่วงทั้งหมด เวลาที่ก้าวผ่านไป ๖๐ กว่าวัน เป็นช่วงที่ประเสริฐและผมคิดว่าเป็นช่วงที่ทำให้ผมได้ระลึกถึงที่ดีมากๆ
ผมคงไม่สามารถจะเล่าได้มาก แต่คงจะจบลงเมื่อผมไปถึงเกาะสมุยแล้ว ที่จริงผมรู้ว่าภารกิจของผมยังก้าวไม่ถึงปลายทาง แต่เนื่องจากสภาพเงื่อนไขทางสังคม ประกอบกับผู้ที่ให้ข้าวให้น้ำผมหลายๆ คนมีความรู้สึกว่า เขาอยากจะรู้ว่าผมเดินถึงไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พอผมกลับมาที่เชียงใหม่ ปรากฏว่ามีโน้ตจากการรับโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก เพราะผมจะไม่กล่าวคำเท็จเป็นอันขาด เขาถามอะไรก็จะตอบ และเมื่อเขาขอเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ให้เบอร์ ให้ชื่อภรรยาผม ก็มีโทรศัพท์ไปที่บ้านเป็นอันมาก ผมตั้งใจว่ากลับมาถึงจะเขียนจดหมายขอบคุณ พอลงมือเขียนก็ปรากฏว่าต้องเขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับ เลยคิดว่าเราน่าจะเขียนจดหมายฉบับเดียวแล้วก๊อบปี้แจกดีกว่า เลยเขียนจดหมายเล่าให้เขาฟังว่าผมเดินไปถึงไหนบ้าง
ขณะที่ผมนั่งเขียนจดหมายหรือบันทึกอยู่ ผมไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม จังหวัดเชียงใหม่ เลยทำให้ผมได้ทบทวนสิ่งที่น่าจะนำมากล่าวในที่นี้ว่าพอจะมีอะไรบ้าง ผมคิดว่ามีสองสิ่งที่ผมประสบพบว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ในการเดินครั้งนี้ คือผมพบว่า การที่ผมไม่มีเงินตราติดตัวไปเลย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความหมายของชีวิตได้โดยไม่น่าเชื่อ ทันทีที่ผมไม่มีเงิน มันเหมือนกับการที่เราหลุดออกมาอีกโลกๆ หนึ่ง ผมเข้าใจว่าความหมายของชีวิตของคนเราในปัจจุบัน ไปถูกทำให้ติดผูกพันอยู่กับเงินสูงมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเงินมันเหมือนชีวิตนี้ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการที่ผมเดินออกไปแล้วไม่มีเงินมันค่อนข้างเป็นสิ่งท้าทาย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างสนุก หมายถึงคือเป็นบทเรียนที่ดีมาก ช่วงที่ผมเดินไปหยุดที่อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาขับรถปิ๊กอัพมา และพอเห็นผมเดิน เขาเลยหยุดรถเพื่อจะถามว่าจะไปไหน เขาอาสาพาผมไปด้วย ผมชี้แจงให้เขาฟังว่าผมมีเจตนาที่จะเดิน ไม่มีเจตนาจะขึ้นรถไป เพราะการเดินเป็นเป้าหมายของผม เมื่อเขาเห็นผมพูดเช่นนั้น เขาคงมีความรู้สึกอยากคุยด้วย เลยปรารภขึ้นมาว่าเขาจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้างไหม ผมบอกว่าเพียงแค่เขาหยุดทักและถามผมก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจเดินมากแล้ว แต่เขาไม่ยอม สุดท้ายเขาขอที่จะให้อาหารผมสักมื้อ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเที่ยง เขาพาผมไปที่ใกล้ๆ แล้วสั่งอาหารให้ ก่อนที่เขาจะขับรถไป ก็เอาสตางค์ ๒๐๐ บาทมาใส่ไว้ในซอกเป้ แล้วขับรถหนีไปเลย
ผมพบว่าสตางค์ ๒๐๐ บาทนี้ มันเข้ามาเป็นตัวแทรกในชีวิตผมที่มหัศจรรย์มาก คือจากคลองขลุง ผมเดินไปขาณุฯ (อำเภอขาณุวรลักษบุรี) จากขาณุฯ ผมจะเดินข้ามถนนตัดเพื่อไปทางอำเภอลาดยาว ถัดมาอีกวัน ผมเดินไปทางอำเภอขาณุฯ ผมเดินจะไปข้ามถนนตรงสลกบาตร (ตำบล สลกบาตร) ประมาณสักเที่ยงค่อนบ่ายโมง ผมดื่มน้ำหมดไปตั้งแต่ตอนก่อนเที่ยงแล้ว ผมหิวน้ำมาก น้ำลายเหนียว ขม แล้วรู้สึกหูอื้อนิดๆ ตอนนั้นผมเดินจะข้ามถนน มันเป็นไฟเขียวสำหรับทางใหญ่ให้รถวิ่งไป ทางผมเป็นไฟแดง ผมยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหัวมุมเป็นคิวมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่สามคัน ตอนแรกเขานึกว่าผมจะไปจ้างเขายังไงไม่ทราบ เลยถามผมว่าจะไปไหน ผมบอกจะเดินไป เขาเลยไม่สนใจ แต่ตรงหัวมุมมีร้านขายของ และมีตู้แช่ขายน้ำทุกชนิด ทั้งน้ำดื่มธรรมดา น้ำอัดลม ผมเกิดความรู้สึกมองดูตู้แช่น้ำนั้นด้วยจิตใจที่แย่มากๆ ว่ามันมีความรู้สึกว่าก็เงิน ๒๐๐ บาทที่อยู่ในเป้นี้ เขาให้เรามา เราก็น่าจะเอามาซื้อน้ำดื่มได้แล้ว
ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับผมจะยอมจำนนต่อความหิวกระหาย แต่เผอิญโชคดี ไฟเขียวฝั่งผมมันขึ้นและไฟแดงฝั่งถนนใหญ่มันขึ้น รถทุกคันต้องหยุด ผมเลยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น คนขับมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าผมรีบวิ่งข้ามถนน แต่ความจริงผมรีบวิ่งหนีอารมณ์ตัวเองที่อ่อนแอมาก เพียงแค่มีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในกระเป๋า ทำให้ผมเกือบพ่ายแพ้ต่อปฏิญญาที่ตัวเองให้ไว้ เงิน ๒๐๐ บาทนี้ผมไปให้ขอทานที่อำเภอสว่างอารมณ์ เป็นเงินที่มีค่าอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นขอทานที่ให้ผมนอนด้วย สุดท้ายผมไม่มีอะไรตอบแทนเขา เลยบอกว่าเงินนี้มีคนให้ผม แต่ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ มันหนักมากจนผมแบกไว้ไม่ไหว ช่วยเอาไว้ใช้ด้วย เขาก็ไม่เข้าใจคำว่าหนักมากของผม คือผมต้องการบอกว่าเงิน ๒๐๐ นี้มันหนักหนาสาหัสบนบ่าบนไหล่บนจิตของผมเสียเหลือเกิน
ผมเข้าใจว่าเรื่องเงินตราเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ผมคงพูดเพียงเท่านี้ว่า ทันทีที่เรามีเงินหรือทันทีที่เราอยากได้เงินหรือกระหายเงิน ความหมายของชีวิตมันจะมีรสชาติที่แปรเปลี่ยนไปเลย เพราะฉะนั้นวันที่ไม่มีเงิน ผมจึงได้สัมผัสรู้ว่าชีวิตมีรสชาติ มีความหมายที่มหัศจรรย์ แต่ตรงนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะบอกว่าเงินไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความหมาย แต่คุณค่าของเงินเมื่อมาผสมกับความปรารถนาความอยากของเรา ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่งได้
เรื่องที่สองที่อยากจะกล่าวเป็นเชิงสรุปตรงนี้คือ ผมเข้าใจว่าในการเดิน มีปัญหาหนึ่งที่ผมประสบและพบ คือเรื่องเวลา เมื่อเราอยู่ในชีวิตปกติเรามีเรื่องเวลาเข้ามากำกับคุณค่าและความหมายตลอด แต่เมื่อผมก้าวเดินไปแล้ว ผมอธิษฐานขอตั้งมั่นเอาจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้น ไม่ตกไปที่อดีตหรือไม่กระสับกระส่ายกลายเป็นการปรุงแต่งเป็นไปเพื่ออนาคต และผมพยายามถือเคร่งเป็นที่สุด ถ้าไม่เกิดสภาพที่ปั่นป่วนข้างนอก เช่น บนถนนมีรถราพลุกพล่าน ผมจะไม่คิดเรื่องอื่น และถ้าสมมติว่ามีอะไรที่ตกหล่นไป ผมก็ใช้วิธีแบบพระ คือปลงอาบัติกับต้นไม้บ้างกับอะไรบ้าง
ถ้าเผลอไผลไปคิดอดีตบ้าง คิดอนาคตบ้าง การกระทำเช่นนี้ยุ่งยากอยู่ในตอนแรกๆ แต่พอทำไปสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าทำได้ และเกิดความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ที่แต่ละวันๆ ผ่านไป เรามีจิตใจเบิกบานอยู่กับการก้าวย่างทุกขณะ ทีละก้าวๆๆ และความเป็นเช่นว่านี้ มันมีความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ผมเข้าใจว่ามหัศจรรย์มาก ผมเพิ่งได้ประจักษ์แจ้งว่า จริงๆ แล้วชีวิตของเราที่มันมีปัญหามากมายสารพัด ส่วนหนึ่งเพราะเราตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการปรุงแต่งเรื่องเวลา มันทำให้สิ่งที่เป็นปัจจุบันสูญเสียคุณค่าไป เมื่อผมสามารถกลับมาสู่ความเป็นปัจจุบันได้ ทำให้ผมเข้าใจพระพุทธวจนะที่ว่า จะมีชีวิตอยู่สักร้อยปี แต่จิตใจไม่สงบนิ่ง ไม่เย็นเป็นสุข สู้มีชีวิตอยู่นาทีเดียวแต่จิตสงบนิ่งเป็นสุขไม่ได้ ผมประจักษ์แจ้งในขณะที่เดินไปนี่แหละครับ ........
ที่เหลือหาอ่านกันเองนะคะ

7/18/2550

เตือนภัย "น้ำอัดลม" ก่อโรคฝีในสมอง

ฟันผุ-เตี้ยแคระ ขาดสารอาหาร ในรร.มีขายอื้อ เตือนระวังภัย “น้ำอัดลม” ก่อโรคฝีในสมอง! ทำฟันผุ-เชื้อโรคลามขึ้นสมอง ซ้ำร้ายเตี้ยแคระ-ขาดสารอาหาร “สสส.” ชี้แผนการตลาดโฆษณาน้ำตาล 0% ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะมีแต่แก๊ส คนลดอ้วนนิยม-ทำให้ไม่หิว แต่ส่งผลระยะยาวให้ร่างกายขาดสารอาหาร ผงะ! ผลวิจัยพบเด็กซื้อน้ำอัดลมในสถานศึกษามากกว่า รร.ปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า กทม. จัดโครงการ “โรงเรียนอ่อนหวาน” รณรงค์ห้ามจำหน่ายในโรงเรียน เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่โรงเรียนวิชูทิศ ดินแดง กท. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน "แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี โฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมในเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุข เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า น้ำอัดลมเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ และกระดูกกร่อน ล่าสุดรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า เด็กที่มีอาการฟันผุ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีในสมองได้ "เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ พบว่า อาการฝีในสมองของเด็กรายหนึ่ง เกิดจากปัญหาฟันซี่บนผุ ซึ่งเชื่อมต่อฐานของสมอง เมื่อฟันผุมาก ๆ เชื้อโรคก็แทรกซึมเข้าสู่สมอง จนทำให้เกิดฝีในสมองได้ เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุของฟันผุ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งเป็นแหล่งของความหวานชั้นยอด" นพ.สุริยเดว กล่าว นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ปกติน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลประมาณ 10-14 ช้อนชา ทุกกระป๋องจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 จากการศึกษาปัญหาเด็กอ้วนพบว่า ส่วนใหญ่ดื่มน้ำอัดลม 25 กระป๋องต่อสัปดาห์ ขณะที่ตามหลักโภชนาการแล้ว ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดภาวะพร่องแคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเป็นโรคกระดูกคดงอและโรคกระดูกพรุนได้ ส่วนกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ออกมาโฆษณาว่า น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาล 0 เปอร์ เซ็นต์ ต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคผอมเพราะขาดสารอาหารเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีสารอาหารใด ๆ มีแต่แก๊ส ทำให้ท้องอืด ไม่อยากอาหาร คนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะหันมาดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้จะทำให้ลดความอ้วนได้ ขณะเดียว กันยังส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เพราะน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกที่มีคุณสมบัติขับแคลเซียมออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปีที่ต้องการแคลเซียมเพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด หากดื่มน้ำอัดลมมากจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมจนหมด ส่งผลให้ร่างกายสูงไม่เต็มที่ อ้วนเตี้ย "การดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก สุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะเด็กที่เข้ารักษาตัวเพราะน้ำหนักตัวเกิน จะหายใจไม่ออก นอนไม่ได้มากกว่าเด็กปกติ 2-3 เท่า ทำให้ต้องรักษาตัวนาน ดังนั้นโรงเรียนต่าง ๆ จึงควรหันมาใส่ใจปัญหานี้และทำให้ร้านค้าภายในและรอบโรงเรียนปลอดการขายน้ำอัดลม แต่ควรหันมาดื่มน้ำเปล่า เพราะเป็นน้ำสะอาดและดีที่สุด หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ต่อ 100 ซีซี" นพ.สุริยเดว กล่าว ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ. สำนักงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจากโรคอ้วน 300 ล้านคน และอีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ปัญหา ส่วนหนึ่งมาจากการไม่ออกกำลังกาย ขณะที่การบริโภคยังนิยมของแคลอรีสูง และของหวาน ต่าง ๆ ประเทศไทยก็เช่นกัน จากการศึกษาพบว่า หากดื่มน้ำอัดลมติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัม ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คนในโรงเรียน 14 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะดื่มมากกว่าประถมศึกษา 3.9 เท่า และหญิงดื่มบ่อยกว่าชายถึง 1.4 เท่า ปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลม ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าโรงเรียนร้อยละ 44 ส่วนโรง เรียนที่มีน้ำอัดลมที่มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียนพบถึงร้อยละ 47.2 นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่า โรงเรียนที่ปลอดและไม่ปลอด น้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งสิ้น โรงเรียนที่ไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 81.3 ขณะที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียงร้อยละ 59.3 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ได้จัดโครงการโรงเรียนอ่อนหวาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเข้าใจโทษของการบริโภคของหวาน โดยกทม.เริ่มมีนโยบายห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียนในสังกัด 436 แห่งมา 3 ปี มีนักเรียน 340,000 คน เชื่อว่าจะทำให้เด็ก ๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากน้ำอัดลมได้. ข้อมูลจาก นสพ.เดลินิวส์

7/17/2550

การแข่งขันกอล์ฟรุ่งอรุณครั้งที่ 5

มาถึงวันนี้ทางชมรมกอล์ฟรุ่งอรุณก็จัดการแข่งขันกันมา 4 ครั้งแล้ว และจะจัดขึ้นครั้งที่ 5 ในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2550
ที่ผ่านมามีเพื่อนสมาชิกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทางชมรมภูมิใจหนักหนาก็คือ ผู้ปกครองหลายท่านเริ่มที่จะพาลูกไปเรียนกอล์ฟมากขึ้น ผู้ปกครองที่เคยเดินผ่านไปผ่านมาแต่ไม่ได้คุยกัน ก็รู้จักกันมากขึ้นมีการพูดคุย หยอกล้อกันได้มากขึ้น นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี ในการจัดตั้งชมรมที่ต้องการให้ผู้ปกครองรู้จักกันมากขึ้น กับ สนับสนุนให้นักเรียนหันมาสนใจกีฬากอล์ฟ ที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็คือคุณพ่อ คุณแม่ คุณลูกออกรอบด้วยกัน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของครอบครัวที่ดีทีเดียว
คุณพ่อบางท่านก็ไม่อยากไปเล่นด้วย เพราะไม่รู้จัก ใครเลย ก็เพราะไม่รู้จักใครนี่แหละครับที่ยิ่งควรเข้าชมรมเพื่อจะได้รู้จักัน สมัครกันเข้ามาเลยครับ เดี๋ยวก็รู้จักกันเองครับ

7/12/2550

ร่วมด้วยช่วยกัน

ทางโรงเรียนส่งจดหมายความร่วมมือเรื่องการจราจรมาหลายสัปดาห์แล้ว
ไม่ทราบผู้ร่วมทางเห็นว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหนคะ
ส่วนตัวคิดว่าแถววงเวียนดีขึ้นบ้าง
แต่ก็ยังมีบางคันที่จอดอยู่บ้าง :(
มีบ้านไหนไม่ได้รับจดหมายไหมคะ
อยากให้ช่วยๆ กัน ต้องอยู่กันไปอีกหลายปี
แลกเปลี่ยนกันค่ะ

7/11/2550

เปิดพื้นที่..คุยกัน

สวัสดีค่ะ...
ครูอ้อได้ทะยอยรวบรวมข้อมูล การเรียนรู้จากส่วนต่างๆ ของรุ่งอรุณขึ้นเพิ่มเติมเนื้อหาบนเว็ปไซต์ มาระยะหนึ่งแล้ว
จึงขอเชิญชวน คุณพ่อ คุณแม่ ท่านผู้ปกครอง คุณครู เจ้าหน้าที่ ทุกท่าน เข้ามา
แลกเปลี่ยน แบ่งปัน แสดงความเห็น แจ้งข่าวสาร
อันเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ร่วมกันได้ที่นี่
โดยผู้ที่เคยแจ้งอีเมล์ไว้จะได้รับคำเชิญให้ร่วมเขียนกระทู้บน "blog" นี้ได้
สำหรับ ท่านผู้ปกครอง คุณครู หรือนักเรียนที่ยังไม่ได้แจ้งอีเมล์ไว้รับข่าวสาร
สามารถลงทะเบียนเพิ่มได้ โดยแจ้งอีเมล์ พร้อม ชื่อ-สกุล และชั้นเรียน
มาได้ที่ครูอ้อนะคะ ra.news@gmail.com
ขอบคุณค่ะ
ครูอ้อ
ประชาสัมพันธ์
โรงเรียนรุ่งอรุณ
หมายเหตุ บทความเพื่อทดสอบการเชิญผู้เขียนเพิ่ม